โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อยและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในผู้สูงอายุ ตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลก เกือบ 1 ใน 5 ของผู้ที่มีอายุเกิน 65 ปีเป็นโรคเบาหวาน สำหรับประเทศไทย อัตราผู้ป่วยเบาหวานที่เคยมีภาวะหลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตันอยู่ที่ประมาณ 3.5% และความเสี่ยงนี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจนในกลุ่มผู้มีอายุตั้งแต่ 60–70 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะกลุ่มที่มีค่าความดันโลหิตซิสโตลิก (SBP) ≥ 140 มม.ปรอท
หนึ่งในภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงที่สุดของเบาหวานคือโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) โดยเฉพาะกลุ่มขาดเลือดในสมอง เบาหวานถือเป็น “สาเหตุหลัก” ที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุอย่างชัดเจน
ทำไมโรคเบาหวานถึงเพิ่มความเสี่ยง “โรคหลอดเลือดสมอง” (Stroke/อัมพาต) ?

- เส้นเลือดแข็ง-ตีบ: น้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการแข็งหรือตีบของหลอดเลือด โดยเฉพาะที่หลอดเลือดคาโรติด, เวอร์เทบรัล และหลอดเลือดสมอง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิด “อัมพาตขาดเลือด”
- เส้นเลือดเล็กเสียหาย: ผู้ป่วยเบาหวานมักมีความผิดปกติในหลอดเลือดขนาดเล็กที่สมอง เกิด “สมองขาดเลือด/สมองแตก” ได้ง่ายขึ้น
- เพิ่มความเสี่ยงเกิดลิ่มเลือด: เบาหวานทำลายผนังหลอดเลือด ทำให้เกล็ดเลือดรวมตัวกันมากขึ้น ก่อตัวเป็นลิ่ม อุดตันการไหลเวียนของเลือดไปสู่สมอง
- ปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย: คนเป็นเบาหวานมักมี “ความดันโลหิตสูง, ไขมันในเลือดสูง, อ้วน, เคยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง/อัมพาต หรือขาดเลือดชั่วคราว” เสริมความเสี่ยงมากขึ้น
- ข้อมูลสถิติ: ผู้ป่วยเบาหวานมีโอกาสเกิดอัมพาตหรือโรคหลอดเลือดสมอง มากกว่าคนทั่วไป 1.5–3 เท่า
สถานการณ์เบาหวานในประเทศไทย
- อัตราการเป็นเบาหวาน: ปัจจุบัน คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปประมาณ 11.6% ป่วยเป็นโรคเบาหวาน หรือราวเกือบ 5 ล้านคน โดยในแต่ละปีมีผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 300,000 ราย และเบาหวานยังเป็นสาเหตุเสียชีวิตจากโรคเรื้อรังที่ไม่ติดต่อถึง 15% ของทั้งหมด
- ผู้ป่วยที่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัย: มีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นโรคเบาหวาน — จากการประเมิน พบว่าประมาณ 40% ของผู้ป่วยยังไม่รู้ว่าตัวเองป่วย
- โรคหลอดเลือดสมองในไทย: ประชากรวัยผู้ใหญ่ 45 ปีขึ้นไป มีอัตราเป็นโรคหลอดเลือดสมองประมาณ 1.88% โดยมีผู้ป่วยใหม่ราว 250,000 รายต่อปี และมีผู้เสียชีวิตกว่า 50,000 ราย โรคนี้ยังคงเป็นสาเหตุหลักอันดับต้น ๆ ที่ทำให้ประชากรไทยเสียชีวิตและพิการ
- ความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยเบาหวาน: ผลการวิจัยในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในไทย พบว่าประมาณ 3.5% ของผู้ป่วยเบาหวานเคยมีประวัติโรคหลอดเลือดสมอง โดยความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นชัดเจนในกลุ่มสูงอายุ (60–70 ปีขึ้นไป) ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะหากมีความดันโลหิต ≥ 140 mmHg มีความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือด (ischemic stroke) สูงขึ้นมาก

สัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ที่ต้องระวังในผู้ป่วยเบาหวาน
โปรดใส่ใจสัญญาณ F.A.S.T (อัมพาตใบหน้า แขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด หรือเวลาที่เกิดอาการ) สิ่งเหล่านี้ส่งสัญญาณความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองถึง 90–95% หากมีอาการอย่างน้อยหนึ่งข้อ F.A.S.T ควรรีบสงสัยทันที นอกจากนี้ยังมีสัญญาณเตือนอื่นๆ เช่น ปากเบี้ยว อัมพาตครึ่งซีก พูดไม่ชัด ตามัว เวียนศีรษะ ควรนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวาน
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ
- รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่โดยปฏิบัติตามแผนการรักษา ใช้ยา/อินซูลินอย่างถูกต้อง และตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ
- ควบคุมความดันโลหิตและไขมันในเลือด พร้อมทั้งตรวจสุขภาพประจำเพื่อปรับเปลี่ยนการรักษาได้ทันเวลา
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต
- ทานอาหารที่เหมาะสม: ลดแป้งและน้ำตาล เลือกกินธัญพืชไม่ขัดสี ผักใบเขียว หลีกเลี่ยงไขมันอิ่มตัว อาหารจานด่วน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: อย่างน้อยวันละ 30 นาที เลือกแบบที่เหมาะกับผู้สูงอายุ เช่น เดินเร็ว โยคะ หรือว่ายน้ำ จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญและควบคุมน้ำหนัก
ตรวจสุขภาพเชิงป้องกันเป็นประจำ

- ตรวจสุขภาพ 2–3 ครั้ง/ปี เพื่อติดตามระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต ไขมัน และหาภาวะแทรกซ้อนแต่เนิ่นๆ
- ตรวจคัดกรองหลอดเลือดแดงที่คอ ดวงตา ไต และระบบประสาท เพื่อหาความผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนก่อนจะมีอาการรุนแรง
รีบรับมือกับสัญญาณอัมพาตเฉียบพลันให้ทันเวลา
- ช่วงเวลา “ทอง” ในการรักษาภาวะสมองขาดเลือดคือภายใน 4.5 ชั่วโมง (ด้วยยาละลายลิ่มเลือด) หรือภายใน 24 ชั่วโมง หากรักษาด้วยวิธีใส่ขดลวดหรือหัตถการสมัยใหม่ เช่น การทำหัตถการหลอดเลือดสมอง
- หากมีอาการผิดปกติ ควรรีบไปถึงโรงพยาบาลที่สามารถรักษาโรคหลอดเลือดสมองให้เร็วที่สุด — “เวลา คือ สมอง”
โรคเบาหวานเป็นสาเหตุสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงอัมพาตในผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตาม หากควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความดัน ไขมันในเลือด มีไลฟ์สไตล์สุขภาพดี และตรวจสุขภาพเป็นประจำ จะสามารถลดความเสี่ยงนี้ได้มาก

