โรคเบาหวาน (ปัสสาวะมีรสหวาน) เป็นโรคเรื้อรังที่พบบ่อย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน และผู้ที่ออกกำลังกายน้อย เกิดขึ้นเมื่อร่างกายผลิตอินซูลินได้ไม่เพียงพอ หรือไม่สามารถนำอินซูลินไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างต่อเนื่อง การใช้ยาอย่างเหมาะสมมีบทบาทสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ โรคไต หรือโรคระบบประสาท
ในบทความนี้ คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับยาแต่ละชนิด คุณสมบัติ ผลข้างเคียง และข้อควรระวัง เพื่อช่วยให้คุณจัดการกับโรคเบาหวานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
1. ภาพรวมของโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานคือความผิดปกติของการเผาผลาญน้ำตาลในร่างกาย ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ โรคนี้แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก:
- โรคเบาหวานชนิดที่ 1: ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ โรคนี้มักเกิดขึ้นในคนหนุ่มสาวและต้องฉีดอินซูลินตลอดชีวิต
- โรคเบาหวานประเภท 2: ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุด ส่งผลกระทบต่อผู้คนประมาณ 90–95%
- เบาหวานขณะตั้งครรภ์: เกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์และอาจกลับมาเป็นปกติหลังคลอด แต่ความเสี่ยงในการเกิดเบาหวานประเภท 2 ในภายหลังจะเพิ่มขึ้น
สาเหตุและกลไกการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง:
โรคนี้เกิดจากหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม โรคอ้วน การรับประทานแป้งขัดสีมากเกินไป การขาดการออกกำลังกาย ความเครียด หรือความไม่สมดุลของฮอร์โมน เมื่อร่างกายไม่สามารถใช้อินซูลินได้อย่างเหมาะสม กลูโคสจะไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่เซลล์ แต่จะสะสมในเลือด นำไปสู่ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
เป้าหมายการรักษา:
- รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ
- ป้องกันภาวะแทรกซ้อนของหัวใจ ไต ตา และระบบประสาท
- ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
2. หลักการสำคัญในการรักษาโรคเบาหวาน
การรักษาโรคเบาหวานไม่เพียงแต่ต้องพึ่งยาเท่านั้น แต่ยังต้องได้รับการดูแลอย่างครอบคลุมด้วย ได้แก่:
- การใช้ยา (อินซูลินชนิดรับประทานหรือฉีด)
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เน้นอาหารที่มีประโยชน์ ลดน้ำตาลและแป้งขัดสี
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอและเหมาะสม
- ควบคุมความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ
แพทย์จะประเมินประเภทและความรุนแรงของโรคเบาหวานของคุณเพื่อเลือกยาหรือการรักษาที่เหมาะสม ผู้ป่วยไม่ควรหยุด เปลี่ยน หรือปรับขนาดยาด้วยตนเอง เพราะอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นและนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้
3. การจำแนกประเภทยาเบาหวานที่ใช้กันทั่วไป
3.1. ยาสำหรับรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 1
ในโรคเบาหวานประเภท 1 ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เอง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องฉีดอินซูลิน
- ประเภทของอินซูลินที่ใช้กันทั่วไป ได้แก่ อินซูลินออกฤทธิ์เร็ว อินซูลินออกฤทธิ์ปานกลาง และอินซูลินออกฤทธิ์ยาว
- วิธีใช้: ฉีดเข้าใต้ผิวหนังตามคำแนะนำของแพทย์ คุณสามารถใช้ปากกาอินซูลินหรืออุปกรณ์ฉีดอัตโนมัติได้
- ผลข้างเคียง: อาจเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ น้ำหนักขึ้นเล็กน้อย หรือเกิดการระคายเคืองบริเวณที่ฉีด
3.2. ยาสำหรับรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2
สำหรับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ผู้ป่วยมักเริ่มการรักษาด้วยยารับประทาน ยาที่ใช้กันทั่วไป ได้แก่:
ก. บิ๊กวนิดส์ เช่น เมตฟอร์มิน
- กลไก : ลดการสร้างกลูโคสในตับ เพิ่มความไวต่ออินซูลินในกล้ามเนื้อ
- ตัวอย่างยา: เมตฟอร์มิน (กลูโคฟาจ)
- ข้อดี : ไม่ก่อให้เกิดการเพิ่มน้ำหนัก สามารถใช้ร่วมกับยาอื่นได้
- ข้อควรระวัง: อาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย คลื่นไส้ หรือปวดท้องเมื่อเริ่มใช้ยา

ข. ยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย เช่น กลิเมพิไรด์ กลิคลาไซด์ กลิเบนคลาไมด์ เป็นต้น
- กลไก : กระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลิน
- ข้อควรระวัง: มีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหากคุณข้ามมื้ออาหารหรือรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา
- คำแนะนำ: ตรวจน้ำตาลในเลือดสม่ำเสมอและรับประทานอาหารตรงเวลาขณะรับประทานยา
c. ยาที่ยับยั้ง DPP-4 เช่น Sitagliptin, Vildagliptin เป็นต้น
- กลไก : เพิ่มฮอร์โมนอินครีติน ช่วยให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้น ลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร
- ข้อดี: มีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเล็กน้อย เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ
d. ยาที่ยับยั้ง SGLT2 เช่น Dapagliflozin, Empagliflozin เป็นต้น
- กลไก : ช่วยกำจัดน้ำตาลออกทางปัสสาวะ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างเป็นธรรมชาติ
- ประโยชน์ : ช่วยลดน้ำหนัก ลดความดันโลหิต และป้องกันโรคหัวใจ
- ข้อควรระวัง : ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
e. กลุ่มไทอะโซลิดีนไดโอน เช่น ไพโอกลิทาโซน เป็นต้น
- กลไก : เพิ่มความไวของอินซูลินในเนื้อเยื่อของร่างกาย
- ผลข้างเคียง: อาจเกิดการกักเก็บน้ำและน้ำหนักเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
f. GLP-1 agonists เช่น Liraglutide, Semaglutide เป็นต้น
- เป็นยาฉีดที่มีกลไกการทำงานคล้ายกับฮอร์โมนธรรมชาติในร่างกาย
- ผลลัพธ์: ลดระดับน้ำตาลหลังมื้ออาหารและช่วยควบคุมน้ำหนัก
- เหมาะสำหรับ : ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน หรือ ผู้ที่ไม่สามารถควบคุมน้ำหนักด้วยยารับประทานได้

4. ข้อควรทราบในการใช้ยาเบาหวาน
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด: อย่าเพิ่ม ลด หรือหยุดใช้ยานี้โดยไม่ได้รับอนุมัติจากแพทย์
- รับประทานยาตรงเวลาและถูกวิธี ร่วมกับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ
- ตรวจน้ำตาลในเลือดของคุณเป็นประจำ: วิธีนี้ช่วยให้แพทย์สามารถปรับประเภทหรือขนาดยาตามการตอบสนองของร่างกายคุณได้
- อย่าผสมหรือใช้ยาลดน้ำตาลในเลือดมากกว่าหนึ่งชนิดโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
- ตรวจสอบการทำงานของตับและไตเป็นประจำ เนื่องจากยาบางชนิดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่ออวัยวะเหล่านี้ได้
5. อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน – ทางเลือกจากธรรมชาติที่ปลอดภัย
นอกจากการรับประทานยาแล้ว ผู้ป่วยเบาหวานยังสามารถดูแลสุขภาพด้วยผลิตภัณฑ์ควบคุมน้ำตาลในเลือดจากธรรมชาติ เช่น Glusure ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารขั้นสูงสำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

ผลิตภัณฑ์นี้ยังประกอบด้วย Fibryxa (จากประเทศญี่ปุ่น) ซึ่งเป็นไฟเบอร์ธรรมชาติที่ช่วยลดความอยากอาหาร พร้อมด้วยโปรตีนจากแหล่งพืชคุณภาพเยี่ยม เช่น อัลมอนด์ วอลนัท ถั่วเหลือง และใช้สารให้ความหวานจากธรรมชาติอย่างสตีเวีย
Glusure มีดัชนีน้ำตาล (GI) ต่ำ ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดในระยะยาว ให้พลังงานและสารอาหารที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
กาวเหมาะสำหรับ:
- ผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวานหรือมีความเสี่ยงสูง
- ผู้ที่รับประทานยาและจำเป็นต้องรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่
- สำหรับผู้ที่ต้องการอาหารว่างที่ปลอดภัย น้ำตาลน้อย และมีคุณค่าทางโภชนาการ
ขอแนะนำให้ใช้ Glusure ร่วมกับยาและตามที่แพทย์สั่งเพื่อให้ได้รับประสิทธิภาพสูงสุดในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างยั่งยืนและครอบคลุม
ยารักษาโรคเบาหวานมีบทบาทสำคัญในการควบคุมอาการ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม การใช้ยาจะได้ผลดีที่สุดเมื่อใช้ร่วมกับการรับประทานอาหารที่เหมาะสม การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการมีสุขภาพที่ดีโดยรวม

