โรคเบาหวานในผู้สูงอายุกำลังเพิ่มสูงขึ้น กลายเป็นปัญหาใหญ่ของหลายครอบครัวในสังคมยุคใหม่ เมื่ออายุ 60 ปีขึ้นไป ระบบเผาผลาญของผู้สูงอายุจะเริ่มเสื่อมลง ความสามารถในการใช้อินซูลินจะลดลง ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสะสมเป็นเวลานาน ประกอบกับการขาดการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล หรือโรคประจำตัวอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง ล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานในผู้สูงอายุ
หากไม่ได้รับการตรวจพบหรือรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ โรคเบาหวานอาจนำไปสู่ปัญหาร้ายแรงต่างๆ เช่น โรคหัวใจ ไตวาย ตาบอด หรือแผลที่เท้าซึ่งต้องตัดขา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพและอายุขัย ดังนั้น การรับรู้และการตอบสนองตั้งแต่เนิ่นๆ รวมถึงการทำความเข้าใจสาเหตุ ควบคู่ไปกับการดูแลและป้องกันอย่างเหมาะสม จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพแข็งแรงและมีความสุขกับลูกหลาน
1. โรคเบาหวานคืออะไร? ทำไมผู้สูงอายุจึงมีความเสี่ยงสูงกว่า?
โรคเบาหวาน (หรือที่รู้จักกันในชื่อปัสสาวะหวาน) เป็นความผิดปกติของการเผาผลาญน้ำตาลในร่างกาย ซึ่งมีลักษณะเด่นคือระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ สาเหตุอาจเกิดจากร่างกายผลิตอินซูลินได้ไม่เพียงพอ หรือร่างกายใช้อินซูลินได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
ในผู้สูงอายุกลไกการเกิดโรคเบาหวานมักเกี่ยวข้องกับปัจจัยต่อไปนี้:
- ความไวต่ออินซูลินลดลง: เซลล์ในร่างกายไม่สามารถดูดซับกลูโคสได้ แม้ว่าจะมีอินซูลินเพียงพอก็ตาม
- ตับอ่อนทำงานได้น้อยลง ร่างกายจึงผลิตอินซูลินได้น้อยลง และไม่สามารถควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ดี
ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานในผู้สูงอายุ ได้แก่:
- อายุ: เมื่อคุณอายุ 60 ปี ความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้จะสูงกว่าคนอายุน้อยหลายเท่า
- น้ำหนักเกิน ไขมันหน้าท้องสะสม: ไขมันหน้าท้องลดประสิทธิภาพของอินซูลิน
- การใช้ชีวิตอยู่ประจำที่และการขาดการออกกำลังกาย กล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้งานทำให้มีการใช้ระดับน้ำตาลในเลือดน้อยลง
- ความดันโลหิตสูงและคอเลสเตอรอลสูง: ปัจจัยทั้งสองนี้มักเกิดขึ้นพร้อมกัน ทำให้โรคเบาหวานเกิดขึ้นเร็วขึ้น
- พฤติกรรมการกินที่มีแป้ง น้ำตาล และไขมันอิ่มตัวสูง ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงและส่งผลเสียต่อตับอ่อนในระยะยาว

2. สัญญาณเตือนโรคเบาหวานในผู้สูงอายุ
อาการของโรคเบาหวานในผู้สูงอายุมักปรากฏอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเงียบงัน ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงตามปกติตามวัย สัญญาณสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่:
- กระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งที่รับประทานอาหารปกติ
- อาการอ่อนเพลีย เวียนศีรษะ มึนงง ความจำไม่ดี ความสามารถในการจดจ่อลดลง
- แผลหายช้า ผิวแห้ง คัน หรือติดเชื้อผิวหนังบ่อยๆ
- ปัญหาการมองเห็น ภาพเบลอ ปวดตาเวลาอ่านหนังสือหรือดูทีวี
- อาการชาตามแขนขา ปวดข้อ โดยเฉพาะเวลากลางคืน
- นอนหลับยาก ตื่นง่าย หงุดหงิด หรืออารมณ์แปรปรวน
หากคุณสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ในผู้สูงอายุ คุณควรไปพบแพทย์ทันทีเพื่อตรวจหาโรคเบาหวาน การตรวจพบและรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรกสามารถช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและควบคุมโรคได้ดีขึ้น
3. ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยของโรคเบาหวานในผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุที่มีโรคเบาหวานมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงหากระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้รับการควบคุมที่ดี:
- ภาวะแทรกซ้อนทางหลอดเลือดและหัวใจ เช่น ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดแดงแข็ง กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน หรืออัมพาต
- ภาวะแทรกซ้อนทางไต: ไตวายเรื้อรัง มีโปรตีนในปัสสาวะ ขาบวม อ่อนเพลียเรื้อรัง
- ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท: อาการชาหรือรู้สึกเสียวซ่าที่มือและเท้า สูญเสียความรู้สึก เสี่ยงต่อการหกล้มและเป็นแผลที่เท้า
- ภาวะแทรกซ้อนทางตา เช่น ต้อกระจก เลือดออกในจอประสาทตา และอาจถึงขั้นตาบอดได้
- ภาวะแทรกซ้อนที่ขา: แผลเรื้อรัง เนื้อตาย หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจต้องตัดขา
ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ยังลดคุณภาพชีวิตของพวกเขาและเพิ่มภาระให้กับครอบครัวอีกด้วย

4. การดูแลและรับมือกับโรคเบาหวานในผู้สูงอายุ
4.1. ปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารของคุณ
- รับประทานอาหารที่ให้พลังงานเพียงพอแต่ไม่มากเกินไป โดยเฉพาะแป้งและน้ำตาล
- เลือกอาหารที่มีค่า GI ต่ำ เช่น ผักสด ถั่ว ธัญพืชไม่ขัดสี ปลา และเนื้อสีขาว
- ลดการรับประทานเนื้อแดง ไขมันอิ่มตัว อาหารทอด และขนมหวาน
- แบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อเล็กๆ 4-6 มื้อต่อวันเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่
- ดื่มน้ำให้มาก และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มอัดลมและแอลกอฮอล์

4.2. ออกกำลังกายเบาๆ และสม่ำเสมอ
- เลือกกิจกรรมที่เหมาะสม เช่น การเดิน โยคะ ไทชิ การว่ายน้ำเบาๆ หรือการปั่นจักรยานช้าๆ
- ตั้งเป้าหมายที่จะออกกำลังกายประมาณ 30 นาทีต่อวัน อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์
- ช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลิน ควบคุมน้ำหนัก และปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต
4.3. การปฏิบัติตามการใช้ยา
- รับประทานยาให้ถูกต้องตามขนาดและเวลาที่แพทย์สั่ง
- อย่าหยุดรับประทานยาใดๆ หรือเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโดยไม่ปรึกษาแพทย์
- ตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดของคุณเป็นประจำเพื่อตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงหรือต่ำผิดปกติ
4.4. การตรวจสุขภาพประจำปี
- ตรวจวัดระดับ HbA1c, น้ำตาลในเลือด, ความดันโลหิต, ไขมันในเลือด และการทำงานของไต
- ติดตามและตรวจพบภาวะแทรกซ้อนตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อปรับแผนการรักษาได้ทันท่วงที
5. โภชนาการที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวาน
การรับประทานอาหารของผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวาน จะต้องเน้นที่ความสมดุล ให้พลังงานเพียงพอ และลดปริมาณน้ำตาลและไขมันไม่ดี
ตัวอย่างเมนูแนะนำสำหรับ 1 วัน
- อาหารเช้า: ข้าวโอ๊ต ไข่ต้มสด ฝรั่งหรือแอปเปิล
- มื้อกลางวัน: ข้าวกล้อง ปลานึ่ง ผักต้ม และแกงมะระ
- มื้อเย็น: ซุปผัก ซุปที่มีน้ำตาลน้อยและมีคุณค่าทางโภชนาการ เหมาะสำหรับผู้เป็นเบาหวาน
- ของว่างระหว่างมื้อ: นมผงสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน หรือ ซีเรียลต่างๆ
คำแนะนำเพิ่มเติม: เลือกผลิตภัณฑ์โภชนาการที่มีดัชนีน้ำตาล (GI) ต่ำเพื่อช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด พร้อมทั้งวิตามิน แร่ธาตุ และโปรตีนที่ดูดซึมได้ง่าย เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ
6. เลือกอาหารเสริมควบคุมน้ำตาลในเลือดที่ปลอดภัย – Glusure
สำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างมีประสิทธิภาพ Glusure เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนแนะนำ
- ค่า GI ต่ำ ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่หลังรับประทานอาหาร
- คุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนด้วยโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกายที่แข็งแรง
- ย่อยและดูดซึมง่าย เหมาะกับคนที่ทานน้อยหรือรู้สึกหิว
- นี่ไม่ใช่การรักษาโดยตรงแต่สามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างเป็นธรรมชาติ
กลูชัวร์ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และเหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวาน ช่วยเพิ่มพลังงาน รักษาสุขภาพโดยรวม และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
โรคเบาหวานในผู้สูงอายุเป็นปัญหาสุขภาพที่ต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างเหมาะสม การตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น การรักษาที่เหมาะสม และการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตที่เหมาะสม ถือเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาสุขภาพที่ดีและชีวิตครอบครัวที่มีความสุข
อย่าลืมตรวจสุขภาพเป็นประจำ ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และเลือกอาหารเสริมที่ปลอดภัย เช่น Glusure เพื่อดูแลสุขภาพของคนที่คุณรักทุกวัน

