โรคเบาหวาน (หรือเบาหวาน) เป็นปัญหาสุขภาพเรื้อรังที่พบบ่อยในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก โรคนี้มีลักษณะเด่นคือระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างต่อเนื่อง หากไม่ได้รับการควบคุมที่ดี โรคนี้อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ โรคไต โรคตา หรือโรคระบบประสาท
ด้วยเหตุนี้ การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดที่บ้านจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ผู้ป่วยสามารถตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดได้ทุกวัน และสามารถปรับอาหาร การออกกำลังกาย และการใช้ยาได้อย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำและใช้งานได้จริง สิ่งสำคัญคือต้องรู้วิธีการวัดที่ถูกต้อง เลือกเวลาที่เหมาะสม และตีความผลลัพธ์อย่างถูกต้อง
1. คุณควรวัดระดับน้ำตาลในเลือดที่บ้านเมื่อใด?
การเลือกเวลาในการวัดระดับน้ำตาลในเลือดมีผลต่อความแม่นยำของข้อมูลและการประเมินการเผาผลาญน้ำตาลในร่างกาย เวลาในการวัดมีดังนี้:
- อดอาหาร (เช้า): เป็นเวลาที่ร่างกายยังไม่ได้รับพลังงานจากอาหาร ช่วงเวลานี้เหมาะสำหรับการประเมินระดับน้ำตาลในเลือดขั้นพื้นฐาน
- 2 ชั่วโมงหลังอาหาร: เพื่อดูว่าร่างกายของคุณประมวลผลน้ำตาลจากอาหารมื้อนั้นได้ดีเพียงใด
- ก่อนนอน : ใช้เพื่อติดตามความเสี่ยงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในเวลากลางคืน
- หากคุณพบอาการผิดปกติใดๆ เช่น รู้สึกเหนื่อย เวียนศีรษะ กระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อย หรือมีเหงื่อออกมาก ควรตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดทันที
ความถี่ในการวัด (แนะนำ)
- ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1: วัด 3–4 ครั้งต่อวัน (ก่อน หลังอาหาร และก่อนนอน)
- ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2: วัดวันละ 1-2 ครั้ง โดยเฉพาะตอนเช้าและหลังอาหาร
- กลุ่มเสี่ยงสูง (เบาหวานก่อนเป็น, โรคอ้วน, ออกกำลังกายน้อย) ควรวัด 2–3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อติดตามแนวโน้มและป้องกันโรค
2. วิธีการวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างแม่นยำที่บ้าน
เตรียมอุปกรณ์
ก่อนที่จะวัดระดับน้ำตาลในเลือด คุณควรเตรียมสิ่งต่อไปนี้:
- เครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือดแบบพกพา
- เข็มเจาะเลือดแบบใช้แล้วทิ้ง
- แถบทดสอบที่เข้ากันได้กับเครื่อง
- สำลีแอลกอฮอล์สำหรับฆ่าเชื้อโรค
ขั้นตอนการวัด
- ล้างมือให้สะอาดและเช็ดให้แห้งเพื่อลดความมันและเหงื่อที่อาจส่งผลต่อผลการทดสอบ
- ใช้เข็มจิ้มเบาๆ ที่ปลายนิ้วของคุณ (โดยปกติคือนิ้วนางหรือนิ้วกลาง)
- หยดเลือดลงบนแถบทดสอบ แล้วใส่แถบทดสอบเข้าไปในเครื่องวัด
- รอสักครู่แล้วเครื่องจะแสดงระดับน้ำตาลในเลือดของคุณ

ข้อควรระวัง
- ไม่ควรวัดระดับน้ำตาลในเลือดทันทีหลังออกกำลังกายหรือหลังรับประทานอาหารมื้อใหญ่
- ควรวัดขณะที่ร่างกายพักผ่อนหรือหลังจากนั่งนานอย่างน้อย 15 นาที
- เปลี่ยนเข็มและแถบทดสอบใหม่ทุกครั้งเพื่อความมั่นใจในด้านสุขอนามัยและผลลัพธ์ที่แม่นยำ
4. เข้าใจระดับน้ำตาลในเลือดของคุณ
การทราบและตีความระดับน้ำตาลในเลือดเป็นสิ่งสำคัญเพราะช่วยให้ผู้ป่วยเปลี่ยนพฤติกรรมได้ทันที
| เวลาในการวัด | ค่าปกติ | การแจ้งเตือนค่าผิดปกติ |
| ระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร | 70–130 มก./ดล. | <70 มก./ดล.: น้ำตาลต่ำ / >130 มก./ดล.: น้ำตาลสูง |
| 2 ชั่วโมงหลังอาหาร | <180 มก./ดล. | >180 มก./ดล.: การควบคุมน้ำตาลในเลือดไม่ดี |
| HbA1c (3 เดือน) | <7% | >7%: จำเป็นต้องปรับแผนการรักษา |
ข้อควรระวัง
- น้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) : คุณอาจรู้สึกกระหายน้ำ เหนื่อยง่าย หรือน้ำหนักลดเร็ว
- น้ำตาลในเลือดต่ำ (ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ): อาการต่างๆ ได้แก่ เหงื่อออกมากเกินไป มือสั่น เวียนศีรษะ หรืออาจเป็นลมได้
- หากเกิดอาการดังกล่าว คุณควรตรวจเลือดอีกครั้งและแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
5. ปัจจัยที่มีผลต่อผลการวัดระดับน้ำตาลในเลือด
ผลการทดสอบไม่แม่นยำเสมอไปเนื่องจากมีสาเหตุหลายประการที่ทำให้ค่าอาจไม่แม่นยำ
- การรับประทานอาหาร: การรับประทานอาหารที่มีแป้ง/น้ำตาลสูงหรือการอดอาหารจะส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดของคุณ
- การนอนหลับและความเครียด: การนอนหลับไม่เพียงพอหรือความเครียดสามารถเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดชั่วคราวได้
- การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายอย่างหนักหรือการออกกำลังกายก่อนการวัดอาจทำให้ผลลัพธ์ผิดปกติได้
- ยา: ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์หรือยาขับปัสสาวะ ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
- อุปกรณ์: แถบทดสอบหมดอายุ อุปกรณ์ที่สกปรก หรือการวัดที่ไม่แม่นยำอาจทำให้ผลลัพธ์ไม่แม่นยำได้

เคล็ดลับสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน:
- เก็บแถบทดสอบไว้ในที่แห้ง หลีกเลี่ยงแสงแดด
- ตั้งค่าเครื่องจักรเพื่อการทดสอบตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
- บันทึกผลการรักษาของคุณทุกวันเพื่อติดตามแนวโน้มและช่วยให้คุณหรือแพทย์ของคุณวางแผนการดูแลของคุณ
6. วิธีการเลือกเครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับใช้ที่บ้าน
เกณฑ์การเลือกเครื่องจักร
- ความแม่นยำสูง: เลือกเครื่องที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน เช่น FDA, CE หรือกระทรวงสาธารณสุข
- แบรนด์ที่เชื่อถือได้ เช่น Omron, Accu-Chek, Beurer, OneTouch
- ราคาและการรับประกัน: มองหาเครื่องที่มีการรับประกัน 2–5 ปีและแถบทดสอบที่เปลี่ยนได้ง่าย
- ฟังก์ชั่นเพิ่มเติม: บันทึกข้อมูลประวัติ, เชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ, วัดค่า HbA1c…
คำแนะนำการบำรุงรักษา
- เก็บอุปกรณ์ไว้ในที่แห้งและเย็น และห่างจากความชื้น
- อย่าให้เครื่องโดนแสงแดดหรือน้ำโดยตรง
- เปลี่ยนแบตเตอรี่ตามกำหนดเวลาและทำความสะอาดขั้วต่อแถบทดสอบเป็นประจำ
7. คุณควรไปพบแพทย์เมื่อใด แม้ว่าคุณจะตรวจน้ำตาลในเลือดที่บ้านแล้วก็ตาม?
การวัดระดับน้ำตาลในเลือดสามารถช่วยให้คุณดูแลสุขภาพของคุณได้อย่างใกล้ชิด แต่มีบางสถานการณ์ที่คุณควรไปพบแพทย์ทันที เช่น:
- ระดับน้ำตาลในเลือดผันผวนไม่แน่นอนติดต่อกันหลายวัน
- มีอาการร้ายแรงของน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำ เช่น ชัก มองเห็นไม่ชัด หายใจลำบาก หรือหมดสติ
- เมื่อคุณจำเป็นต้องเปลี่ยนยาหรือแพทย์ปรับขนาดอินซูลินของคุณ
- หากค่า HbA1c สูงกว่า 7% เสมอ แม้ว่าคุณจะปฏิบัติตามยาและการดูแลสุขภาพอย่างเคร่งครัดก็ตาม
8. ทางเลือกในการช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดที่บ้าน
นอกจากการตรวจน้ำตาลในเลือดเป็นประจำแล้ว ผู้ป่วยควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงและรักษาระดับการควบคุมเบาหวานให้คงที่ เช่น:
- ปรับอาหารของคุณ: เน้นอาหารที่มีดัชนีน้ำตาล (GI) ต่ำ เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ผักสด และถั่ว หลีกเลี่ยงน้ำตาล น้ำอัดลม และอาหารจานด่วน
- การออกกำลังกายเบาๆ อย่างน้อยวันละ 30 นาที เช่น การเดิน โยคะ หรือศิลปะการต่อสู้แบบจีน
- รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ พักผ่อนให้เพียงพอ และลดความเครียด
- การทำสิ่งเหล่านี้ควบคู่ไปกับการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดของคุณ จะช่วยให้คุณควบคุมโรคเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น

นอกเหนือจากการควบคุมอาหารและการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำแล้ว ผู้ป่วยเบาหวานยังสามารถเลือกใช้Glusure ได้อีกด้วย
กลูชัวร์ยังประกอบด้วยไฟบริกซา (จากญี่ปุ่น) ซึ่งเป็นแหล่งใยอาหารชนิดละลายน้ำได้สูง ช่วยควบคุมความอยากอาหาร รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ และส่งเสริมการย่อยอาหาร ผลิตภัณฑ์นี้ยังประกอบด้วยโปรตีนจากพืชคุณภาพเยี่ยม เช่น วอลนัท อัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน และถั่วเหลือง ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและให้พลังงานโดยไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูง การใช้กลูชัวร์เป็นประจำทุกวันจะช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน และเสริมสร้างสุขภาพที่ดีในระยะยาว
การวัดระดับน้ำตาลในเลือดที่บ้านเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก ช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานควบคุมสุขภาพได้ดีขึ้น ด้วยผลการวัดที่แม่นยำ ตรงเวลา และความเข้าใจความหมายของแต่ละตัวบ่งชี้อย่างชัดเจน คุณจะสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อน รักษาสุขภาพ และพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

